เอาตัวรอดในวิกฤต
6September 25, 2011 by Lin
ผมไม่ขอเดาว่า วิกฤตจะเกิดไม่เกิดนะครับ ไม่วิเคราะห์ด้วย เพราะไม่มีปัญญา แต่เอาแนวคิดที่ผมใช้เอาตัวรอดรอบที่แล้วมา และคิดว่าคงจะใช้ต่อไปในครั้งนี้ (วิกฤตในความหมายผม น่าจะเป็นช่วงที่หุ้นลงมาเกิน 30-40% จากจุดสูงสุด เอาเป็นว่าแนวคิดข้างล่างเริ่มใช้ได้ ต่อเมื่อดัชนีอยู่แถว 800-900 จุดแล้วกันครับ)
สิ่งที่แนะนำ
1. มีสติและคิดว่ามันจะผ่านไปอีกครั้ง
2. ปรับพอร์ตอย่างใจเย็น ดูพื้นฐานเป็นหลัก valuation is a key!
3. หาโอกาสในวิกฤต เลือกหุ้นที่เราเข้าใจจริง ๆ (ควรจะรู้จักหุ้นตัวนั้นมากกว่าคนอื่น ๆ)
4. ไม่ประมาท เราไม่รู้ว่าข้างหน้าจะแย่กว่านี้หรือไม่
5. หนทางอีกยาวไกล อย่าหยุดที่จะเรียนรู้ ถือโอกาสทบทวนหนังสือ และความรู้เก่า ๆ
6. มีความสุขกับการลงทุน ชีวิตการลงทุนหลายสิบปี ต้องเจอเหตุการณ์เลวร้ายแน่นอน
7. หารายได้เพิ่ม หากิจกรรมหลายอย่างทำ ถือว่าเป็นโอกาสใช้ชีวิตในมุมอื่น ๆ บ้าง
8. เพิ่มเงินสดในพอร์ต ขายหุ้นออกมาอย่างช้า ๆ เวลาซื้อก็ซื้อช้า ๆ กว่าปกติ (ทำตัวเหมือนหมี)
9. ข้อดีของวิกฤตคือ เราจะได้หุ้นดี ๆ ที่เราอยากได้มานานไว้ในพอร์ตตลอดชีวิตด้วยราคาส่วนลด!
10. ข้อดีอีกข้อคือ ทำให้เราได้ realize profit ออกมาบ้าง วิธีขายควรเหมือนวิธีซื้อของเรา ซื้อเฉลี่ย ก็ขายเฉลี่ย ซื้อหนัก ก็ขายหนัก
สิ่งที่ไม่แนะนำ
1. ล้างพอร์ต หนีวิกฤต บริหารเงินสด 100% ยากไม่ต่างกับหุ้น 100% หรอกครับ
2. ซื้อ ๆ ขาย ๆ บ่อย หรือในกรอบแคบเกินไป ตลาดหมีเกิดทียาวนาน อย่ารีบร้อน
3. กังวล และจิตตก ชีวิตหมกมุ่นแต่หุ้น
4. อ่านเวปบอร์ด อ่าน twitter อ่านข่าว โดยขาดวิจารณญาณ ระวังถูกชี้นำไป ๆ มา ๆ
5. พยายามโต้คลื่น ความพยายามทำอะไรยาก ๆ มักไม่ส่งผลดี
6. ซื้อถัวเฉลี่ยขาลงแบบผิด ๆ
7. ดูราคาหุ้นบ่อย การตัดสินใจจะแย่ลงเปล่า ๆ
8. มีหุ้นที่ซื้อมาเพื่อเก็งกำไร แต่ตอนนี้ยังเห็นอยู่ในพอร์ต เพราะไม่อยากขายขาดทุน
9. ไม่ประเมินหุ้นใหม่ วิกฤตนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลง และความเข้าใจบางอย่างอาจจะล้าสมัยไปแล้ว
10. สำคัญที่สุดครับ (อย่า)เปลี่ยนแนวทางในการลงทุน เพื่อจะได้รับมือกับวิกฤต
ใครเล่นหมากล้อม ผมว่าทางเลือกในเวลานี้คือ จำบัญญัติข้อที่ว่า วางหมากให้มีทางออกสองทางเสมอครับ อีกตอนนึงจะลองเขียนเรื่อง “เตรียมตัวรับวิกฤต” เป็นตอนสองครับ พอดีวิกฤตคราวที่แล้ว ไม่ได้เตรียมตัวเท่าไหร่ คราวนี้ผมนั่งอ่านหนังสือหลายเล่ม ก็พอจะมีไอเดียอยู่บ้าง และเริ่มทำไปบ้างพอสมควร
ปล. เขียนบทความนี้มาเป็นเดือนแล้วครับ ไม่อยากโพสต์ แต่คิดว่าถึงตอนนี้โพสต์ทิ้งไว้ดีกว่า เผื่อจะเป็นประโยชน์กัน
ขอบคุณครับ คำแนะนำมีประโยชน์มากกับช่วงนี้ ” ต้องมีสติ ” ใช้โอกาสปรับปรุงพอร์ตเรา ซื้อของได้ถูกลง ช่วงนี้ก็ถือเงินสด 10% รอซื้อเพิ่มอยู่ครับ
** ปกติหุ้นที่เรามีแล้วอยากซื้อเพิ่มควรราคาลงสักประมาณกี่ % ถึงน่าจะเข้าไปรับครับ
ขอบคุณครับ
ทุกอย่างขึ้นอยู่กับโครงสร้างพอร์ตเราครับ
การเข้าซื้อแบบขาลง ควรท่อง 3 อย่าง
1. ราคาที่ซื้อทุกราคาต้องมี MOS และเป็นเงินเย็น
2. ซื้อตามแผน และมีเป้าหมาย
3. เฉลี่ยขาลงแบบปิรามิด ลงทีแรกซื้อน้อย และซื้อเยอะขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อราคาต่ำลง
ส่วนซื้อที่ราคาเท่าไหร่ ก็ควรคิดแบบนี้ครับ
การที่ขาดทุน 40-50% ถือว่าสถานการณ์แย่มาก ไม่ว่าตอนไหน
เป้าหมายการขาดทุนไม่เกิน 10-20% จะเป็นต้นทุนที่ไม่หนักมากเกินไป สำหรับการทำกำไรในตลาดขาขึ้น (ซึ่งไม่รู้ว่าเมื่อไหร่)
ดังนั้น ถ้าเผื่อหุ้นลง 50% แล้วอยากให้ต้นทุนเราไม่ขาดทุนเกิน 20% ก็ควรมีเงินสดซื้อหุ้นเมื่อราคาลง 50% อย่างน้อยครึ่งหนึ่งของเงินสด เพื่อถัวเฉลี่ยต้นทุนรวม
แต่ถ้าไม่ชำนาญมาก ผมไม่แนะนำซื้อขาลง ใส่หมวกเป็นพวกชาวสวน contrarian เท่าไหร่ครับ ส่วนมากจะจบลงแบบไม่ดีมากกว่า แต่สำหรับคนมีวินัย มีแผน มีการประเมินมูลค่าที่ดี ซื้อแบบนี้ จะเป็นโอกาสได้กำไรก้อนโต อีกรูปแบบหนึ่งครับ
จริตผมชอบซื้อแบบนี้ มากกว่าไล่ซื้อขาขึ้นครับ พิสูจน์มาหลายทีแล้ว คงเป็นเพราะนิสัยผมที่ถือหุ้นยาวนาน และชอบหุ้นที่มีคุณภาพสูง ๆ ครับ
ขอบคุณครับสำหรับแนวทางครับ 😀
Please post part 2 soon kab.wanna study also.
เขียนให้เข้าใจยากมากเลยครับ ผมยังไม่ค่อยเข้าใจเลย พยายามสรุปความคิดอยู่
ผมเกริ่นให้ฟังก่อนแล้วกัน
ศิลปะการต่อสู้ชั้นสูงไม่จำเป็นต้องเคร่งเครียด แต่ต้องเต็มไปด้วยความพร้อม ไม่คิดล่วงหน้า ไม่มีความฝัน(ลม ๆแล้ง) แต่พร้อมกับอะไรก็ตามที่จะเกิดขึ้น นักต่อสู้ควรจะพร้อมที่จะรับผิดชอบในสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับการกระทำของตัวเอง
ดังนั้น ไม่มีเทคนิค จึงไม่มีคู่แข่งมาต่อสู้ หากเพราะ “ตนเอง” หรือ “อัตตา” ต่างมิได้มีมาตั้งแต่ต้น
เมื่อคู่ต่อสู้ขยาย ฉันจะหดตัว เมื่อคู่ต่อสู้หดตัว ฉันจะขยาย
และเมื่อมีโอกาส ฉันจะไม่โจมตี แต่คู่ต่อสู้ต่างหาก ที่ทำร้ายตัวเอง จนแพ้ไป
บรู๊ซ ลี 1940-1973
แทนคำว่าต่อสู้ด้วยคำว่าลงทุน คู่ต่อสู้ คือ Mr. Market ครับ
From my investing life, Myself is the strongest enemy kab.I heard , and feel, Dhamma is like this also.